Market Neutral
Market Neutral คืออะไร?
Market Neutral เป็นกลยุทธ์การลงทุนประเภทหนึ่งที่ดำเนินการโดยนักลงทุนหรือผู้จัดการการลงทุนที่แสวงหาผลกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้นและลดลงในตลาดอย่างน้อยหนึ่งตลาดในขณะที่พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านตลาดบางรูปแบบโดยเฉพาะ กลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาดมักบรรลุผลโดยการจับคู่ Long และ Short Positionในหุ้นต่างๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการเลือกหุ้นที่ดี และลดผลตอบแทนจากการเคลื่อนไหวของตลาดในวงกว้าง (market movements)
กองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Market neutral จะคล้ายคลึงกับกองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Long/Short equity หลายประการ กองทุนประเภทนี้จะไม่ใช้ปัจจัยเกี่ยวกับ “สภาวะตลาด” มาเป็นตัวชี้วัดหลักในการลงทุนหรือไม่ลงทุน แต่จะพยายามลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดโดยการรักษาสัดส่วนของการลงทุนทั้งฝั่ง “ซื้อ” และฝั่ง “ขาย” ให้มีความสมดุลกัน นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า “Neutral” (เป็นกลาง) พูดง่ายๆ คือ ไม่ได้โฟกัสที่ “ทิศทางตลาด” แต่เน้นสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในพอร์ต กลยุทธ์นี้อาจมีการใช้เลเวอเรจบ้างในบางกรณีเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน
การป้องกันความเสี่ยงเป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่เป็นกลาง การลงทุนอาจมีความสมดุลระหว่างการลงทุนระยะยาวที่ได้เปรียบและความผันผวนที่มากขึ้น แต่อาจมีผลกำไรสูงในระยะสั้นและพอร์ตการลงทุนที่เป็นกลางของตลาดมีจุดประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทน สิ่งนี้สามารถเกี่ยวข้องกับการลงทุนในด้านต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการลงทุนบางประเภทหรือกระจายการลงทุนในลักษณะที่ช่วยลดความเสี่ยง
KEY TAKEAWAYS ประเด็นที่สำคัญ
- Market Neutral (ตลาดเป็นกลาง)หมายถึงประเภทของกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้โดยผู้จัดการการลงทุนที่แสวงหาผลกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้นและลดลงในตลาดการเงิน
- การเลือกการลงทุนที่รู้จักกันว่าเป็นกลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาด พยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่สำคัญ เนื่องจาก Long / Short Position ทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันความเสี่ยงซึ่งกันและกัน กลยุทธ์ที่เป็นกลางในตลาดมักใช้โดยกองทุนป้องกันความเสี่ยงเนื่องจากวัตถุประสงค์ในการลงทุนคือผลตอบแทนที่แน่นอนมากกว่าผลตอบแทนที่สัมพันธ์กัน
- กลยุทธ์สองประเภทที่ผู้จัดการกองทุนใช้คือการเก็งกำไรพื้นฐานและการเก็งกำไรทางสถิติ กลยุทธ์ที่เป็นกลางในตลาดมีความสัมพันธ์เชิงบวกที่ต่ำที่สุดในตลาด เนื่องจากพวกเขาวางเดิมพันเฉพาะในการบรรจบกันของราคาหุ้นในขณะที่ป้องกันความเสี่ยงด้านตลาดโดยทั่วไป
Market Neutral เป็นคำที่ใช้เรียกพอร์ตการลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอตลอดเวลาโดยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านตลาดหรือความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง ในขณะที่พอร์ตการลงทุนทั้งหมดมีจุดประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวพอร์ตการลงทุนที่เป็นกลางจะเน้นที่ผลตอบแทนในอัตราคงที่และผลตอบแทนที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาด การสร้างพอร์ตโฟลิโอที่เป็นกลางในตลาดจริง ๆ นั้นยากมากเพราะมีตัวแปรมากมายที่เกี่ยวข้อง
โลกของเรานั้นประกอบไปด้วยปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อทิศทางราคา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งธรรมดาๆ อย่าง ปริมาณน้ำฝน ยอดเด็กเกิดใหม่ ไปจนถึงดัชนีที่ซับซ้อนทางเศรษฐกิจ
แต่ปัจจัยๆ หนึ่ง ก็ส่งผลต่อสินทรัพย์แต่ละชนิด หรือ สินทรัพย์ชนิดเดียวกันทว่าแต่ละตัวไม่เท่ากัน ซึ่งเมื่อนำการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปเทียบกับตลาดโดยรวม เราก็จะได้สิ่งที่เรียกว่าค่า BETA หรือ ว่าง่ายๆ ก็คือค่าความผันผวนเมื่อเทียบกับตลาดนั่นเอง
ซึ่งแน่นอนว่าความผันผวนนั้นใครๆ ก็ไม่ชอบ จึงมีคนหัวใสคิดกลยุทธ์ที่เรียกว่า Market Neutral ขึ้นมาโดยการใช้อุปกรณ์ทางการเงิน เช่น การยืมหุ้นมาขาย (Short Sale) สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ Option เพิ่มเติม เพื่อกำจัดค่า Beta ดังกล่าว เพราะมีความเชื่อว่า หากกำจัดค่า Beta ดังกล่าวออกไปได้แล้ว เราจะได้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอีกชนิดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตลอดเวลาแบบที่ไม่แคร์อะไรกับตลาดโดยรวมเลย
“Market Neutral Strategy” เพื่อเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในทุกสภาวะตลาด หรือ “Absolute return” นั่นเองครับ
ผมขอเล่าที่มาของกองทุนแบบนี้สั้นๆ เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพละกันนะครับ ในสมัยก่อนมีนักคณิตศาสตร์ ได้พยายามแยกหุ้นออกเป็น 2 แบบก็คือ หุ้นที่ดี(หุ้นที่พร้อมขึ้นมากกว่าลง) กับหุ้นที่ไม่ดี (หุ้นที่พร้อมจะลงมากกว่าขึ้น)
จากนั้นก็ทำการ “ซื้อ” หรือว่า “Long” หุ้นที่ดี และทำการยืมหุ้นที่ไม่ดีมาขายก่อน หรือที่เราเรียกว่า “Short” (เพื่อที่จะทำกำไรในช่วงที่ตลาดหุ้น หรือว่าหุ้นตัวนั้น ๆ เป็นขาลง)
รายละเอียดของการทำ “Short” ก็คือ การยืมหุ้นมาขายก่อน เช่น เรายืมหุ้น AAA ราคา 50 บาท มา และทำการขายออกไป ณ วันที่เรายืมมาเลย ก็แสดงว่าเราได้เงินมาทันที 50 บาท และหากวันถัดมาหุ้นตัวนั้น ปรับตัวลดลงเหลือ 30 บาท เราก็แค่ เอาเงิน 50 บาทที่ได้จากการขายหุ้นไปก่อนหน้านี้ ซื้อหุ้นกลับมาคืนคนที่เรายืมหุ้น AAA มา ดังนั้น เราจะได้กำไร 50–30 = 20 บาท นั่นเองครับ
แน่นอนครับว่า หากตลาดหุ้นเป็น “ขาขึ้น” เราจะได้กำไรจากหุ้นที่ดี ที่เราซื้อไว้ โดยที่ราคาพร้อมจะปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะของตลาดอยู่แล้วครับ ส่วนหุ้นที่ไม่ดี ราคาพร้อมที่จะปรับตัวลงนั้น อาจจะลงไม่มากเพราะว่าตลาดหุ้นโดยรวมเป็นขาขึ้นนั่นเองครับ ทำให้เราขาดทุนไม่เยอะจากการทำ “Short”
ในทางกลับกัน หากตลาดหุ้นเป็น “ขาลง” เราจะได้กำไรจากหุ้นที่ไม่ดี ที่เราได้ทำการ “Short” ไว้ ที่ราคาพร้อมจะปรับตัวลดลงตามสภาวะของตลาดครับ ยิ่งลงเยอะเรายิ่งได้กำไร แต่ส่วนหุ้นที่ดี ที่ราคาพร้อมจะปรับตัวขึ้นนั้น อาจจะขึ้นไม่มากเพราะว่าตลาดหุ้นโดยรวมเป็นขาลงนั่นเองครับ ทำให้เราขาดทุนไม่เยอะครับ ซึ่งแน่นอนว่าการทำแบบนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ทุกสภาวะตลาดนั่นเองครับ
การใช้พอร์ตลงทุนที่เป็นกลางของตลาดอาจมีความเสี่ยง พอร์ตการลงทุนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีสภาพคล่องน้อยลงซึ่งอาจทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะที่อ่อนแอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของกองทุนที่นักลงทุนอาจดึงออกมาและก่อให้เกิดผลกระเพื่อม นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะขาดทุนจากการลงทุนระยะสั้นซึ่งไม่สามารถชดเชยได้ ในขณะที่การลงทุนในตลาดที่เป็นกลางนั้นไม่ควรมีความสัมพันธ์กับความผันผวนของตลาดสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เกิดขึ้นและการลงทุนที่ไม่ดีสามารถเกิดขึ้นได้ ความเสี่ยงของเหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่าความเสี่ยงพื้นฐาน
กองทุนตามกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นกลางในตลาดมักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหลักทรัพย์ของรัฐบาลเล็กน้อย ในขณะที่หลักทรัพย์ของรัฐบาลมีความเสี่ยงต่ำมากพวกเขามักจะได้รับผลตอบแทนต่ำซึ่งอาจทำให้พวกเขาไม่ดึงดูด แผนการลงทุนที่เป็นกลางในตลาดยังมีความเสี่ยง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลตอบแทนมากขึ้น สิ่งสำคัญคือการประเมินการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นอย่างระมัดระวังและค้นหาระเบียนผลการดำเนินงานของกองทุนกลางตลาดเพื่อตัดสินใจว่าพวกเขามีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
ผู้ที่ต้องการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนซึ่งเป็นไปตามรูปแบบนี้สามารถทำได้ด้วยความช่วยเหลือของนายหน้าหรือด้วยตนเองถ้าพวกเขามีประสบการณ์เพียงพอ นักลงทุนอื่น ๆ อาจเลือกลงทุนในกองทุนมากกว่าพยายามสร้างพอร์ตการลงทุนของตนเอง เช่นเคยขอแนะนำให้ทำการลงทุนที่หลากหลายและหลีกเลี่ยงการพึ่งพากองทุนเดียวหรือหลักทรัพย์เพื่อทำกำไร
เราสามารถแบ่ง Market Neutral ออกได้เป็น 2 แบบโดยง่าย
หนึ่งคือกลยุทธ์ Market Neutral ที่ใช้ความผิดปรกติด้านราคาในเชิงสถิติหากำไร และ สองคือ Market Neutral ที่ใช้ความผิดปรกติด้านปัจจัยพื้นฐานหากำไร ซึ่งมีแนวการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันออกไป
โดยในเชิงสถิตินั้น ต้องอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น ราคาย้อนหลัง การวิเคราะห์กราฟเทคนิค หรือโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อคำนวณออกมาเป็นสินทรัพย์ ปริมาณ และสถานะที่ควรถือ
ในขณะที่ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน โดยมากจะตั้งเป้าหมายในการซื้อไปที่หุ้นแข็งแกร่ง และ Short หุ้นที่มีสัญญาณของการอ่อนตัวจากข้อมูลทางด้านปัจจัยพื้นฐาน เช่น ยอดขาย กระแสเงินสดคิดลด ฯลฯ
ซึ่ง Market Neutral ทั้ง 2 แบบนั้นอาจทำได้หลายกลยุทธ์ เช่น
ในสินทรัพย์เดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เช่น Long หุ้นโรงพยาบาล A แล้ว Short หุ้นโรงพยาบาล B
สินทรัพย์เดียวกัน คนละกลุ่ม เช่น Long หุ้นโรงไฟฟ้า Short หุ้นการท่องเที่ยวและร้านอาหาร
คนละสินทรัพย์ เช่น Long หุ้นกู้แปลงสภาพ แต่ Short หุ้นที่อ้างอิง
…และอีกมากมาย
หลากปริมาณ เช่น
Long / Short 50:50 คือการใช้สถานะ Long และ Short เพื่อลดความเสี่ยงด้านการใช้ Leverage
Long / Short 100:100 Long / Short 3–400%:3–400%
เพื่อให้พอร์ตการลงทุนนั้นๆ มีค่า Beta ต่ำลงมา ตามแต่จุดประสงค์ของผู้จัดการกองทุน ว่าต้องการกำจัดความเสี่ยงออกไปมากน้อยแค่ไหน หรือ กำจัดความเสี่ยงรูปแบบใด ซึ่งจะช่วยกำหนดสินทรัพย์ที่ต้องลงทุน อุปกรณ์ทางการเงินที่ต้องใช้ หรือโมเดลทางคณิตศาสตร์แบบใดที่ควรคำนึงถึง
โดยถ้าหากเรามีการ “ซื้อ” หุ้น และทำการ “ขาย” หุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน เช่น 50%:50% หรือจะ 100%:100% ก็ได้ โดยการที่เราทำแบบนี้จะเปรียบเสมือนว่า เรานั้นไม่ได้ถือหุ้นอยู่เลยครับ (ซื้อ-ขายเท่ากัน) เลยเป็นที่มาของคำว่า Market Neutral นั่นเองครับ แต่แน่นอนว่านักลงทุนเองก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนอยู่อย่างที่ผมได้ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ครับ
ดังนั้น ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ผลตอบแทนไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะของตลาดหุ้นว่าจะขึ้นหรือว่าลงนั่นเอง จึงเหมาะกับตลาดที่ผันผวน หรือว่าหาทิศทางที่แน่ชัดไม่ได้
ซึ่งในกรณีของ Market Neutral แบบ Zero Beta นั้นเป้าหมายก็คือทำให้ต่ำลงมาใกล้เคียง 0 ที่สุด
นอกจากนั้นแล้วยังมีการประยุกต์ใช้แบบลูกครึ่ง เช่น กลยุทธ์ Long/Short Hedge ที่มีเป้าหมายคือการสร้างผลตอบแทนแบบหุ้นภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า, 130/30 ที่ให้ความสนใจของผลกำไรที่มากขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมือนๆ กันกับตลาดทั่วไป ฯลฯ
การทำความเข้าใจตลาดเป็นกลาง
ไม่มีวิธีใดที่เป็นที่ยอมรับในการใช้กลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาด นอกเหนือจากวิธีการที่กล่าวข้างต้นแล้ว นักวางกลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาดอาจใช้เครื่องมืออื่นๆ เช่น การเก็งกำไรจากการควบรวมกิจการ การชอร์ตเซกเตอร์ และอื่นๆ
ผู้จัดการที่มีตำแหน่งเป็นกลางทางการตลาดสามารถใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมในตลาดได้ กองทุนเฮดจ์ฟันด์มักมีสถานะเป็นกลางในตลาดเนื่องจากเน้นที่ค่าสัมบูรณ์เมื่อเทียบกับผลตอบแทนแบบสัมพัทธ์ ตำแหน่งที่เป็นกลางในตลาดอาจเกี่ยวข้องกับการถือครอง Long 50% และ Short 50% ในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น น้ำมันและก๊าซ หรือการดำรงตำแหน่งเดียวกันในตลาดที่กว้างขึ้น
บ่อยครั้ง กลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาดเปรียบได้กับกองทุนหุ้นระยะยาว/ระยะสั้น แม้ว่าจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน กองทุน Long/Short มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงในหุ้นระยะยาวและระยะสั้นในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ประเมินราคาต่ำเกินไปและมีมูลค่าสูงเกินไป
ในทางกลับกัน กลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาดมุ่งเน้นไปที่การเดิมพันแบบเข้มข้นโดยพิจารณาจากความคลาดเคลื่อนของราคาโดยมีเป้าหมายหลักในการบรรลุศูนย์เบต้าเทียบกับดัชนีตลาดที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ แม้ว่ากองทุนที่เป็นกลางในตลาดจะใช้ตำแหน่งยาวและสั้น เป้าหมายของกองทุนประเภทนี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากกองทุนเปิดยาว/สั้นธรรมดา
ทำไมต้องหุ้น?
เพราะหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เนื่องจากมีการคำนวณมูลค่าที่เป็นเหตุเป็นผลจากการทำธุรกิจ สภาพคล่องที่สูง และภายใต้สินทรัพย์เดียวมีตัวเลือกให้เลือกมากมาย ซึ่งเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือความเสี่ยงระหว่างตลาดได้
ทั้งหมดนี้จะช่วยผู้จัดการกองทุนดังกล่าว สามารถทำการตัดสินใจได้ดีขึ้น
แล้วกำไรของ Market Neutral เกิดจากไหน?
เกิดจาก Premium จากการขายสัญญาหรือสินทรัพย์ล่วงหน้าในตลาดต่างๆ (Option), ดอกเบี้ยจากตราสารที่ไปถือ เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพ, ส่วนต่างราคาหรือ Spread จากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลต่อหุ้นที่เราถือไม่เท่ากัน ทำให้มีโอกาสทำกำไรเสมอแม้ยามที่ตลาดไม่เป็นใจอย่างปัจจุบัน ทำให้ Market Neutral ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้งในฐานะกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ในยามที่ตลาดไม่เป็นใจและเริ่มมีสัญญาณของการตึงตัว
แต่ในข้อดีนั้นก็มีข้อเสียด้วยเพราะ…
Market Neutral เป็นการถือสถานะทั้ง Long และ Short ทำให้เป็นการจำกัดโอกาสในการทำกำไรที่สูง ทำให้ยามที่ตลาดดี Market Neutral มักจะไร้คนเหลียวแล
ความเสี่ยงของ Market Neutral??
Market Neutral มีการนำ Leverage มาใช้เพื่อทำกำไรเพิ่มเติม และลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมลง ทำให้หากผู้จัดการกองทุนนั้นๆ ชะล่าใจ เกิดใช้เกินตัวขึ้นมา อาจทำให้กองมีปัญหาได้
Beta = 0 นั้นเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ ถึงแม้ในทางทฤษฎีจะเป็นไปได้ แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ซึ่งเมื่อ Beta ไม่เท่ากับศูนย์แล้วก็เท่ากับพอร์ตโดยรวมนั้นยังมีความเสี่ยงมากกว่าที่ควรจะเป็นตามกลยุทธ์
ทางด้านความหลากหลายของโมเดล หากโมเดลที่ใช้ในการทำกลยุทธ์ดังกล่าวหลากหลายไม่มากพอ นั่นหมายถึง คนจำนวนมากลงทุนด้วยกลยุทธ์เหมือนๆ กัน จากหลากหลายช่องทาง ซึ่งเมื่อลงทุนเหมือนกันแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือค่าความสัมพันธ์ที่สูง ซึ่งไม่ใช่สิ่งน่าพึงประสงค์ของกลยุทธ์ที่ต้องการความอิสระอย่าง Market Neutral
เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่ Bond Yield Spread ใกล้เคียงศูนย์ ข่าวการเมืองระหว่างประเทศที่กำลังร้อนแรง ราคาน้ำมันที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ PMI ที่เริ่มหันหัวลง ถึงแม้วิกฤติจะยังไม่เกิดตอนนี้ แต่จะไม่ดีกว่าหรือที่จะปลอดภัยไว้ก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้ผลกำไรก็คือ เงินต้น…
ประเภทของกลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาด
มีสองกลยุทธ์หลักที่เป็นกลางทางการตลาดที่ผู้จัดการกองทุนใช้: การเก็งกำไรพื้นฐานและการเก็งกำไรทางสถิติ นักลงทุนที่เป็นกลางในตลาดขั้นพื้นฐานใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน แทนที่จะเป็นอัลกอริธึมเชิงปริมาณ เพื่อคาดการณ์เส้นทางของบริษัทไปข้างหน้า และทำการซื้อขายตามการบรรจบกันของราคาหุ้นที่คาดการณ์ไว้ กองทุนที่เป็นกลางในตลาดการเก็งกำไรทางสถิติใช้อัลกอริธึมและวิธีการเชิงปริมาณเพื่อค้นหาความคลาดเคลื่อนของราคาในหุ้นตามข้อมูลในอดีต จากนั้น จากผลเชิงปริมาณเหล่านี้ ผู้จัดการจะซื้อขายหุ้นที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนกลับเป็นราคาที่ซื้อขายได้ ประโยชน์และข้อได้เปรียบที่ยอดเยี่ยมของกองทุนที่เป็นกลางในตลาดคือการเน้นที่การสร้างพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงด้านตลาด ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง ผลลัพธ์ในอดีตแสดงให้เห็นว่ากองทุนที่เป็นกลางในตลาดมีแนวโน้มที่จะดีกว่ากองทุนโดยใช้กลยุทธ์บางอย่าง ยกเว้นกลยุทธ์การขายชอร์ตล้วนๆ กลยุทธ์ที่เป็นกลางทางการตลาดในอดีตมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ำสุดกับตลาดโดยเฉพาะเพราะพวกเขาวางเดิมพันเฉพาะในการบรรจบกันของราคาหุ้นในขณะที่ป้องกันความเสี่ยงด้านตลาดโดยทั่วไป